การประเมินผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาคจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และนัยเชิงนโยบาย (ศ.ดร.พิริยะ)

ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์
ศาสตราจารย์เงินเดือนขั้นสูง (ศาสตราจารย์ระดับซี 11)

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
www.econ.nida.ac.th; piriya@nida.ac.th

 การประเมินผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาคจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และนัยเชิงนโยบาย

 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแต่ละระลอกได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล โดยการกระทบนั้นได้ผ่านช่องทางต่างๆ ที่หลากหลายตามรายละเอียดที่ผมเคยเขียนมาก่อนดังนี้ https://www.posttoday.com/finance-stock/columnist/618563

งานศึกษาในชุดโครงการ “ผลกระทบของโควิด-19 ต่อภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย” (ที่มีผมเป็นหัวหน้าชุดโครงการ) ซึ่งงานนี้ได้รับการสนับสนุนด้านทุนวิจัยจาก “หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข. – กลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์)” ในการทำการประเมินผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจของไทย โดยส่วนหนึ่งของชุดโครงการนี้ทางทีมวิจัยของเรา (ซี่งได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์, คุณทวีชัย เจริญเศรษฐศิลป์, คุณณัฐวุฒิ ลักษณาปัญญากุล, และ ดร.สยาม สระแก้ว) ได้ใช้แบบจำลองทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Model) ประเภทแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (Computable General Equilibrium Model) เพื่อวิเคราะห์ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคจากการระบาดในระลอกแรกและระลอกที่สอง

                ผลการศึกษาพบว่า เมื่อแสดงผลกระทบในรูปของมูลค่าเงิน (เหรียญสหรัฐ)  การระบาดในระลอกแรกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีสวัสดิการสังคมลดลง 40,852 ล้านเหรียญ, GDP ลดลงร้อยละ 8.48, อัตราเงินเฟ้อลดลงร้อยละ 3.19, ดุลการค้าลดลง 5,824 ล้านเหรียญ, รายได้ภาษีลดลงร้อยละ 11.39, การส่งออกลดลงร้อยละ 11.14, การนำเข้าลดลงร้อยละ 9.17, อัตราการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.38, การบริโภคลดลงร้อยละ 13.56, การลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.33, อัตราค่าจ้างแรงงานทักษะและอัตราค่าจ้างแรงงานทักษะน้อยไม่เปลี่ยนแปลง (ตามข้อสมมติของแบบจำลอง) และราคาค่าเช่าทุนลดลงร้อยละ 0.59

ทั้งนี้เมื่อทำการจำแนกปัจจัยที่ส่งผล (Contribution) ต่อการหดตัวของเศรษฐกิจในระลอกแรกพบว่า การหดตัวของ GDP ที่ร้อยละ 8.48 นี้เกิดจากการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ โดยจากการประมาณพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลทำให้ GDP ของเศรษฐกิจไทยลดลงถึงร้อยละ 5.93 (จากร้อยละ 8.48) หรือคิดเป็นประมาณ 100x (5.93/8.48) = ร้อยละ 70 หรืออาจกล่าวได้ว่า การหดหายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการระบาดระลอกแรกส่งผลถึงร้อยละ 70 ต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจ รองลงมาได้แก่การลดลงของนักท่องเที่ยวในประเทศประมาณ 100x(1.40/8.48) = ร้อยละ 16.5 และปัจจัยทางด้าน Risk Premium ของประเทศที่วัดจากอัตราการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ส่งผลต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกแรกประมาณ 100x (1.08/8.48) = ร้อยละ 12.7

ในขณะที่จากการประเมินผลกระทบจากการระบาดในระลอกที่สองพบว่าส่งผลให้ สวัสดิการสังคมลดลง 63,904 ล้านเหรียญ, GDP ลดลงร้อยละ 13.66, อัตราเงินเฟ้อลดลงร้อยละ 5.09, ดุลการค้าลดลง 11,545 ล้านเหรียญ, รายได้ภาษีลดลงร้อยละ 17.87, การส่งออกลดลงร้อยละ 18.46, การนำเข้าลดลงร้อยละ 14.36, อัตราการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.68, การบริโภคลดลงร้อยละ 21.14, การลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.77, อัตราค่าจ้างแรงงานทักษะและอัตราค่าจ้างแรงงานทักษะน้อยไม่เปลี่ยนแปลง (ตามข้อสมมติของแบบจำลอง) และราคาค่าเช่าทุนลดลงร้อยละ 0.94 จะเห็นได้ว่าทิศทางของผลกระทบต่อตัวแปรเศรษฐกิจมหภาคในสถานการณ์ที่ 1 และสถานการณ์ที่ 2 เป็นไปในทิศทางเดียวกันสำหรับทุกตัวแปร ส่วนขนาดของผลกระทบในสถานการณ์ที่ 2 มีขนาดประมาณ 1.5 ถึง 2 เท่าของสถานการณ์ที่ 1

นอกจากนี้ เมื่อทำการจำแนกปัจจัยที่ส่งผล (Contribution) ต่อการหดตัวของเศรษฐกิจในระลอกแรกพบว่า การหดตัวของ GDP ที่ร้อยละ 13.66 นี้เกิดจากการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ โดยจากการประมาณพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลทำให้ GDP ของเศรษฐกิจไทยลดลงถึงร้อยละ 8.39 (จากร้อยละ 13.66) หรือคิดเป็นประมาณ 100x (8.69/13.66) = ร้อยละ 63.6 หรืออาจกล่าวได้ว่า การหดหายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการระบาดระลอกแรกส่งผลถึงร้อยละ 63.6 ต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลรองลงมากลับเป็นปัจจัยทางด้าน Risk Premium ของประเทศที่วัดจากอัตราการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ส่งผลต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกสองประมาณ 100x (2.92/13.66) = ร้อยละ 21.4 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยทางด้านการติดเชื้อและเสียชีวิตได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากขึ้นต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับการระบาดระลอกแรก ในขณะที่สำหรับการระบาดในระลอกที่สองนี้การลดลงของนักท่องเที่ยวในประเทศจะส่งผลเพียงประมาณ 100x(1.65/13.66) = ร้อยละ 12

ทั้งนี้ถึงแม้ว่าแบบจำลองจะไม่ได้ทำการประมาณสำหรับการระบาดระลอกที่สามก็ตาม แต่ด้วยถ้าสังเกตจากจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระลอกที่สามที่ผ่านมาก็น่าที่จะอธิบายได้ว่า ปัจจัยทางด้าน Risk Premium ของประเทศที่วัดจากอัตราการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตดังกล่าวนี้น่าจะแซงหน้ามาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการหดตัวของเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยของการลดลงของนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ

ตารางที่ 1 ผลกระทบของการระบาดระลอกแรกของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทย

(หน่วย: ร้อยละการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นที่ระบุเป็นอย่างอื่น)

ตัวแปร

ทั้งหมด

Contribution of

แรงงาน

ต้นทุนการผลิต

การบริโภค

Risk premium

นักท่องเที่ยวต่างชาติ

นักท่องเที่ยวไทย

สวัสดิการสังคม

-40,852

0

-200

-44

-3,967

-30,941

-5,700

GDP

-8.48

0.00

-0.06

-0.01

-1.08

-5.93

-1.40

อัตราเงินเฟ้อ

-3.19

0.00

-0.08

-0.01

-0.71

-2.28

-0.10

ดุลการค้า

-5,824

0

-111

-26

-1,332

-3,332

-1,023

รายได้ภาษี

-11.39

0.00

-0.14

-0.02

-1.63

-8.44

-1.15

การส่งออก

-11.14

0.00

-0.08

-0.02

-1.66

-8.23

-1.16

การนำเข้า

-9.17

0.00

-0.02

-0.01

-1.00

-7.32

-0.83

อัตราการค้า

0.38

0.00

0.02

0.01

0.27

0.08

0.00

การบริโภค

-13.56

0.00

-0.05

-0.01

-1.27

-10.06

-2.16

การลงทุน

1.33

0.00

0.04

0.01

0.24

1.06

-0.01

ที่มา: ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และคณะ โดยนำเสนอผลของการทำ Simulation ของการระบาดระลอกแรก

 

ตารางที่ 2 ผลกระทบของการระบาดระลอกสองของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทย

(หน่วย: ร้อยละการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นที่ระบุเป็นอย่างอื่น)

ตัวแปร

ทั้งหมด

 ปัจจัยเกื้อหนุน

แรงงาน

ต้นทุนการผลิต

การบริโภค

Risk premium

นักท่องเที่ยวต่างชาติ

นักท่องเที่ยวไทย

สวัสดิการสังคม

-63,904

0

-2,588

-190

-11,088

-43,539

-6,490

GDP

-13.66

0.00

-0.64

-0.05

-2.92

-8.39

-1.65

อัตราเงินเฟ้อ

-5.09

0.00

-0.37

-0.04

-1.69

-2.92

-0.07

ดุลการค้า (ล้านเหรียญ ณ ราคาปี 2557)

-11,545

0

-872

-94

-4,558

-4,742

-1,277

รายได้ภาษี

-17.87

0.00

-0.94

-0.08

-4.11

-11.49

-1.25

การส่งออก

-18.46

0.00

-0.88

-0.09

-4.70

-11.50

-1.29

การนำเข้า

-14.36

0.00

-0.54

-0.04

-2.66

-10.26

-0.86

อัตราการค้า

0.68

0.00

0.06

0.02

0.58

0.01

0.01

การบริโภค

-21.14

0.00

-0.81

-0.06

-3.57

-14.20

-2.49

การลงทุน

2.77

0.00

0.13

0.04

1.46

1.19

-0.04

ที่มา: ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และคณะ โดยนำเสนอผลของการทำ Simulation ของการระบาดระลอกที่สอง

 

ในแง่ผลกระทบรายสาขาพบว่า ทางทีมของอาจารย์ศาสตราพบว่า สาขาที่หดตัวมากที่สุด (โดยพิจารณาจากปริมาณผลผลิตของสาขาการผลิตนั้นๆ) ล้วนเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวทั้งสิ้นได้แก่ 1) ที่อยู่อาศัยและอาหาร (หดตัวร้อยละ 45.7-67.2), 2) ธุรกิจนันทนาการ (หดตัวร้อยละ 29.4-41.4), 3) การขนส่งทางอากาศ (หดตัวร้อยละ 19.6-32.1), 4) การค้า (หดตัวร้อยละ 15.5-22.8), และ 5) เครื่องดื่มและยาสูบ (หดตัวร้อยละ 14.6-22.1) ตามลำดับ โดยการหดตัวของสาขาเหล่าเกิดจากอุปสงค์การท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง เนื่องจากสาขาเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง ดังนั้นผลการศึกษานี้จะแสดงให้เห็นในภาพรวมว่า สาขาการที่ข้องกับภาคการท่องเที่ยวเป็นสาขาที่ได้รับผลกระทบสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับสาขานอกการท่องเที่ยว

ดังนั้นเพื่อเร่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผลการศึกษาในระดับมหภาคนี้จะสามารถนำไปเสนอยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ในเชิงนโยบายระดับประเทศได้สี่ประการหลักดังนี้

  • ประการแรก ในการที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว การลดปัจจัยทางด้าน Risk Premium ที่วัดจากอัตราการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิต เป็นแนวทางที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก จนกระทั้งการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมยังประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจนกระทั่งเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการ “สร้างความเชื่อมั่น” ทั้งกับคนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้นโยบายที่จะดำเนินการต่อไปนี้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

  • ประการที่สอง เมื่อมีการลดค่า Risk Premium แล้ว การเร่งเปิดประเทศเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุน (Contribution) ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการพึ่งพาเพียงนักท่องเที่ยวไทย (นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 คนจะสร้างรายได้เท่ากับนักท่องเที่ยวไทยประมาณ 5 คน) เช่นการดำเนินมาตรการ Sandbox หรือ Sealed Destination ต่างๆ อาจเน้นการให้แรงจูงใจกับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงแรกๆ เช่น การดำเนินนโยบายด้านราคา หรือการไม่เก็บค่าตรวจ Real-time RT PCR กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ภาครัฐสามารถสร้างแรงจูงใจ (Incentive) ในการไปท่องเที่ยวในพื้นที่ Sandbox หรือ Sealed Destination กับนักท่องเที่ยวในประเทศได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีรับความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่น

  • ประการที่สาม จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบในภาคการท่องเที่ยว โดยควรเน้นการเยียวยาในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ การช่วยเหลือธุรกิจในระยะสั้นโดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ อาจใช้มาตรการการลดภาษี ยกเว้นภาษีบางอย่างเป็นการชั่วคราว

  • ประการที่สี่ ภาครัฐควรยังคงดำเนินมาตรการกระตุ้นอุปสงค์การท่องเที่ยวของคนในประเทศประกอบไปด้วย โดยอาจสามารถใส่เงื่อนไข (Conditional) หรือสร้างแรงจูงใจ (Incentives) ต่อการไปท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์หลัก เช่น การท่องเที่ยวในโครงการ Phuket Sandbox หรือ การท่องเที่ยวชุมชน (Community-Based Tourism) ที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่ช่วยในการลดความยากจนและกระจายรายได้ได้เป็นอย่างดี

แต่อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้ไม่ได้กระทบกับภาคผู้ประกอบการแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังกระทบไปถึงภาคแรงงาน อันส่งผลต่อเนื่องไปสู่ระดับความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งผมจะขออธิบายผลกระทบในส่วนนี้ในบทความคราวหน้าครับ

ที่มีภาพข่าว : https://www.posttoday.com