การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงิน และเศรษฐกิจของโครงการผลิตไฟฟ้า เชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความคุ้มค่าของการลงทุน และผลตอบแทนทางด้านการเงิน และเศรษฐกิจ ของโครงการก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุกร ขนาดต่างๆ ในประเทศไทย ด้วยระบบ Hybrid Covered Lagoon เปรียบเทียบกันใน 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบที่ 1 เป็นการศึกษาโครงการที่ให้ผลตอบแทนในรูปของกระแสไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และปุ๋ยชีวภาพ รูปแบบที่ 2 เป็นการศึกษาโครงการที่ให้ผลตอบแทนในรูปของการเทียบเท่าน้ำมันเตาที่ประหยัดได้ และปุ๋ยชีวภาพ และรูปแบบที่ 3 เป็นการศึกษาโครงการที่ให้ผลตอบแทนในรูปของกระแสไฟฟ้าที่ประหยัดได้, ปุ๋ยชีวภาพ และค่ากำจัดก๊าซเรือนกระจก (CDM) ใน 3 ขนาด ซึ่งวัดตามจำนวนสุกรขุน ได้แก่ขนาด 1,000 ตัว, 5,000 ตัว และ 10,000 ตัว โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงานในฐานะวิศวกรออกแบบ และที่ปรึกษาโครงการให้กับลูกค้าของผู้วิจัยเอง ก่อนที่จะนำมาคำนวณทางวิศวกรรม ร่วมกับการคำนวณทางการเงิน และเศรษฐศาสตร์ เพื่อจัดทำงบการเงินต่างๆ เช่น งบกำไร–ขาดทุน งบกระแสเงินสด และทำให้ได้ทราบถึงต้นทุนของกิจการ อันเกิดจากค่าใช้จ่ายประเภทต่างๆ ไปจนถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ในรูปของงบกระแสเงินสด หลังจากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางการเงินต่างๆ ได้แก่ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value ; NPV), อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (Benefit-Cost Ratio ; BCR), ระยะเวลาคืนทุน (Discount Payback Period ; DPB) และอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return ; IRR) รวมทั้งการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ การวิเคราะห์ความอ่อนไหว โดยการทดสอบการแปรเปลี่ยนทั้งด้านต้นทุน และผลตอบแทน (Switching Value Test) รวมไปถึงการวิเคราะห์ผลของการเปลี่ยนแปลงตัวแปรภายนอก ที่มีต่อตัวชี้วัดทางการเงินต่างๆ ข้างต้น ซึ่งผลการวิเคราะห์ทางการเงินในภาพรวม บ่งชี้ว่า โครงการทุกขนาด มีความเป็นไปได้ หรือเหมาะสมต่อการลงทุน โดยระดับความคุ้มค่าจะแปรผันโดยตรงตามขนาดของโครงการ กล่าวคือ ฟาร์มขนาดใหญ่ จะมีความคุ้มค่ามากกว่าฟาร์มที่มีขนาดเล็กกว่า (ดังที่แสดงในตารางสรุปผลการวิเคราะห์ทางการเงิน และเศรษฐกิจ ในภาคผนวก) อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจนี้ ทำให้ทราบเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีโครงการที่ให้ผลตอบแทนในรูปของกระแสไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และปุ๋ยชีวภาพ ที่มีจำนวนสุกรขุนไม่เกิน 1,000 ตัว พบว่า หากค่ากระแสไฟฟ้าต่ำกว่า 2 บาท/Unit และราคาปุ๋ยชีวภาพต่ำกว่า 51 บาท โดยประมาณ จะทำให้โครงการไม่น่าลงทุน เนื่องจากมีค่า NPV ที่เป็นลบ (-18,298 บาท) ในขณะที่มีระยะเวลาคืนทุน มากกว่า 15 ปี ซึ่งนานกว่าอายุโครงการ รวมทั้งมีค่า IRR เท่ากับ 5.19% ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนเงินทุนของโครงการ
ผลการศึกษาจากงานวิจัยนี้ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ลงทุน หรือผู้ร่วมลงทุน ทั้งที่เป็นเจ้าของ และไม่ได้เป็นเจ้าของโดยตรง สำหรับกิจการฟาร์มสุกร หรือฟาร์มปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่มีคุณลักษณะ และปริมาณน้ำเสียที่ใกล้เคียงกัน ในการนำไปพิจารณาในแง่เศรษฐศาสตร์ ประกอบการตัดสินใจลงทุนทำระบบก๊าซชีวภาพนี้ต่อไป