รศ.ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Email: saran.s@nida.ac.th
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องต่อสู้กับปัญหาการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่กัดกร่อนสุขภาพของประชาชนและสร้างภาระให้ระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีมาตรการควบคุมยาสูบที่เข้มแข็งและดำเนินมาอย่างยาวนาน แต่สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นว่าการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง และมาตรการที่เคยได้ผลในอดีตอาจไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมของคนในยุคใหม่อีกต่อไป
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า สัดส่วนของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่สูบบุหรี่ลดลงจาก 25.47% ในปี 2544 เหลือเพียง 17.43% ในปี 2564 ขณะที่จำนวนผู้สูบลดลงจากราว 11.96 ล้านคนเหลือ 9.9 ล้านคน แม้แนวโน้มโดยรวมจะลดลง แต่การลดลงดังกล่าวเริ่มช้าลงในช่วงหลัง ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสิทธิผลของนโยบายที่ลดลง และความจำเป็นในการทบทวนมาตรการควบคุมยาสูบให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ภาพรวมประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยผู้สูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากเพียง 5.7% ในปี 2527 เป็นเกือบ 15% ในปี 2562 ส่วนสัดส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีลดลงเหลือเพียงหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมด โดยทั่วไป คนรุ่นใหม่มีอัตราการสูบน้อยกว่า แต่กลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงอายุก็เป็นต้นแบบของพฤติกรรมด้านต่าง ๆ แก่เด็กและเยาวชน
เมื่อพิจารณาตามภูมิภาค ภาคใต้มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ 11 จังหวัดตอนบนของภาคใต้ที่มีอัตราการสูบสูงและลดลงช้ากว่าภาคอื่น แต่ที่น่าสนใจคือสามจังหวัดชายแดนใต้ซึ่งเคยมีอัตราการสูบสูงกลับลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแปดปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์นี้เกิดจากความร่วมมือของผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และสมาชิกครอบครัวที่เข้ามามีบทบาทเป็นแบบอย่างในสังคมจนเกิดผลจริง
ในเขตเมือง อัตราการสูบลดลงจนเหลือราว 15% และเริ่มหยุดนิ่ง ส่วนในชนบทแม้อัตราการสูบยังสูงกว่าแต่แนวโน้มลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างด้านการศึกษาและรายได้ก็ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ ผู้ที่มีการศึกษาสูงหรือมีรายได้มากมักไม่สูบบุหรี่เพราะตระหนักถึงผลเสียต่อสุขภาพและภาพลักษณ์ทางสังคม ในขณะที่กลุ่มรายได้น้อยและการศึกษาต่ำยังคงเป็นกลุ่มที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลและมาตรการช่วยเหลือมากที่สุด
เพศเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสูบอย่างเห็นได้ชัด เยาวชนชายมีแนวโน้มเริ่มสูบมากกว่าเยาวชนหญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 18–19 ปีซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อัตราการสูบเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากถึง 7% สะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดพอ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในบ้านก็มีผลเช่นกัน เยาวชนมีโอกาสสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 หากพ่อแม่สูบแต่ไม่สูบที่บ้าน และเพิ่มขึ้นอีกกว่าร้อยละ 16 หากพ่อแม่สูบที่บ้าน
นอกจากนี้ รูปแบบการสูบของคนไทยก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บุหรี่มวนเองที่เคยแพร่หลายลดลง ขณะที่บุหรี่โรงงานเข้ามาแทนที่มากขึ้น ที่น่ากังวลคือ “บุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งเริ่มปรากฏในกลุ่มคนอายุ 20–24 ปีและมีแนวโน้มแพร่ไปสู่กลุ่มวัยรุ่นอายุน้อยกว่า หากไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด อุปกรณ์เหล่านี้อาจกลายเป็นประตูสู่การเสพติดรูปแบบใหม่ในหมู่เยาวชนไทย
แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายควบคุมยาสูบที่เข้มแข็งและครอบคลุม แต่ประสิทธิผลมีแนวโน้มลดลง มีแนวทางที่สำคัญหลายประการในการต่อสู้กับกลยุทธทางการตลาดเชิงรุกของอุตสาหกรรมยาสูบ เช่น การปรับปรุงระบบภาษีเพื่อให้ได้อัตราการสูบที่ต่ำที่สุดในขณะที่รายรับภาษีสูงสุด หรือการกำหนดราคาบุหรี่ขั้นต่ำที่ครอบคลุมต้นทุนการสูบบุหรี่ทุกด้าน การเข้มงวดกฎหมายควบคุมอายุผู้ซื้อ และการลงโทษผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับยาสูบ โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ ยังเสนอให้บูรณาการนโยบายควบคุมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราเข้าด้วยกัน เนื่องจากสองพฤติกรรมนี้มักเกิดควบคู่กันในสังคมไทย
ในระดับพื้นที่ ควรมุ่งเป้าหมายไปยังภูมิภาคที่มีอัตราการสูบสูง เช่น ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตเทศบาลซึ่งมีผู้สูบมากกว่าพื้นที่ในเขตเทศบาล ในระดับครอบครัว ควรมีการให้ความรู้แก่พ่อแม่ที่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะผู้ที่สูบที่บ้าน เพื่อป้องกันการถ่ายทอดพฤติกรรมไปสู่บุตรหลาน และให้ลูกมีบทบาทในการชักชวนพ่อแม่ในการเลิกสูบ
ในด้านการสื่อสารกับสาธารณชน มาตรการรณรงค์ควรปรับให้ทันต่อพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นหลัก การใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือบุคคลต้นแบบในโลกดิจิทัล เช่น ศิลปิน เกมเมอร์ นักกีฬา หรือเน็ตไอดอล สามารถช่วยสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรณรงค์แบบเดิม สำหรับผู้หญิง ควรเน้นข้อความเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ส่วนผู้ชายควรเน้นการสื่อถึงภาพลักษณ์ในการทำงานและการเป็นผู้นำ นอกจากนี้ สำหรับมุสลิมแล้วยังสามารถใช้หลักคำสอนทางศาสนาในการส่งเสริมแนวคิดเรื่องการไม่ทำร้ายตนเองและคนรอบข้างผ่านการสูบบุหรี่
ในส่วนของแรงจูงใจและบทลงโทษ สามารถใช้ระบบรางวัลเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี เช่น มอบคูปองส่วนลดร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ฟิตเนส หรือสปาให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ ขณะเดียวกันต้องมีบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่เผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับบุหรี่ หรือจำหน่ายบุหรี่เถื่อน โดยต้องบังคับใช้กฎหมายกับทั้งผู้ขายและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่ปฏิบัติตาม
ท้ายที่สุด แม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ แต่หากไม่มีการปรับมาตรการให้ทันต่อยุคสมัย โดยเฉพาะต่อการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ความสำเร็จที่มีอยู่ก็อาจค่อย ๆ ถูกลบเลือนไป การต่อสู้กับบุหรี่จึงไม่ใช่เพียงการ “ห้ามสูบ” แต่คือการสร้างวัฒนธรรมสุขภาพใหม่ให้กับสังคมไทย ผ่านกฎหมายที่เข้มแข็ง การให้ความรู้และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชน และทุกภาคส่วนในสังคม
อ้างอิง: อิศรา ศานติศาสน์, นฐิตา หวังโซ๊ะ, สวรัย บุณยมานนท์, ปภัศร ชัยวัฒน์, ศรัณย์ ศานติศาสน์, Md. Nasir Uddin, และ พิเศษพร วศวงศ์. (2566). พลวัตของการบริโภคยาสูบ: เหลียวหลัง แลหน้า การควบคุมยาสูบของประเทศไทย (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.
