ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Email: Santi_nida@yahoo.com
ถ้า “ซอฟต์พาวเวอร์” หรือ “อำนาจอ่อน” หรือ ”อำนาจละมุน“ หรือ ”พลังศรัทธา“ (แล้วแต่ว่าเราจะเรียกว่าอะไร) จะหมายถึง “อำนาจ” หรือความสามารถในการโน้มน้าวให้ “ผู้อื่น” ซึ่งในที่นี้เราก็มักจะหมายรวมไปถึงคนต่างชาติที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีปฏิสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับประเทศไทย หรือคนไทย ให้ปฏิบัติหรือดำเนินการในกิจกรรมบางอย่างที่เป็นความต้องการของผู้ที่มี หรือผู้ที่ใช้ซอฟต์พาวเวอร์นั้นต้องการได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง หรืออำนาจในลักษณะของการกดขี่หรือบังคับให้ทำ เมื่อซอฟต์พาวเวอร์ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในทางเศรษฐกิจ ก็มักจะถูกมองในทางบวกเสมอ แบบเราสามารถใช้ซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดได้ เพื่อให้คน (ต่างชาติ) มานิยมชมชอบสินค้าของไทย ให้คน (ต่างชาติ) มีความสนใจอยากมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น แล้วอะไรล่ะที่จะเข้าข่ายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้บ้าง ซึ่งก็ไม่ได้มีคำนิยาม หรือข้อจำกัดใด ๆ ในส่วนนี้ สุดแล้วแต่ว่าจะนึกถึงอะไรที่มีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้คนสนใจและทำในสิ่งที่ซอฟต์พาวเวอร์จะชักจูงให้ทำ (และในบางครั้งก็อาจจะทำโดยที่ไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำไป) แล้วโดยส่วนใหญ่ก็จะนึกถึง การดนตรี การบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งนักแสดงหรือผู้มีอิทธิพล (Influencer) ในบทบาทต่าง ๆ วัฒนธรรม อาหาร ฯลฯ แต่ก็อยากชวนให้คิดอีกทีว่า จริง ๆ แล้วอะไรที่เป็นตัวซอฟต์พาวเวอร์ ที่มีอิทธิพลโน้มน้าวพฤติกรรมของคน และชวนให้คิดต่อไปว่า มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่โดยความไม่ได้ตั้งใจ เราก็อาจจะไปสร้างซอฟต์พาวเวอร์ในทางลบ ที่ส่งผลโน้มน้าวให้คนมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์สำหรับเราได้ด้วย และผลนั้นก็อาจจะกระทบ สร้างความเสียหาย และเป็นอุปสรรคต่อแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ แม้ว่าอาจจะส่งผลดีในระยะสั้นบ้างก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นข้อแตกต่างระหว่าง Influencer (ที่เน้นได้ผลระยะสั้นและรวดเร็ว) กับซอฟต์พาวเวอร์ที่ต้องใช้เวลาทั้งในการสร้าง และผลของการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ที่มักจะมีผลในระยะยาวมากกว่า
เมื่อพูดถึงซอฟต์พาวเวอร์ คนจำนวนมากส่วนใหญ่ก็มักจะมองไปถึงการใช้พลังอำนาจนี้เพื่อสร้างผลประโยชน์ในทางบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดแนวคิดในการใช้พลังนี้ในการส่งเสริม หรือขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งก็จะเป็นการสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปด้วย คำถามที่สำคัญที่เราจะต้องตอบให้ได้ชัดเจนคือ พลังอำนาจที่เรียกกันว่า ซอฟต์พาวเวอร์นั้น สร้างขึ้นได้จากอะไร ? สามารถสร้างขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ 1-2 ปี หรือไม่ ? ซอฟต์พาวเวอร์คงจะไม่ใช่เพียงแค่การไปหยิบเอาวัฒนธรรม ดนตรี อาหาร หรืออะไรก็ตามแต่ที่ “เรา” นึกเอาเองว่าดี มาประชาสัมพันธ์ให้ “ผู้อื่น” (คนต่างชาติ) ได้รับรู้ แล้วคาดหวังว่าเขาจะยอมรับ นิยมชมชอบตามพลังอำนาจที่เรานำเสนอจนมีอิทธิพลในการโน้มน้าวให้เขามีพฤติกรรมตัดสินใจไปในทางที่เราต้องการ เช่น ถ้าเราเห็นว่ามวยไทย หรืออาหารไทย เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ก็จะต้องหมายความว่า อาหารไทย หรือมวยไทย เป็นพลังอำนาจที่จะโน้มน้าวให้คนต่างชาติทั่วโลกมีความนิยมชมชอบในอาหารไทยจนยอมรับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างอื่น ๆ ไปด้วย สามารถดึงดูดให้คนต่างชาติอยากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และถ้ามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ มวยไทยที่เป็นที่นิยมชมชอบของชาวต่างชาติ ก็จะมีพลังดึงดูดหรือโน้มน้าวให้มีคนสนใจในสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับมวยไทย และดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อจะได้มาดูมวยไทยมากขึ้น ความสามารถในการโน้มน้าวผู้คนให้บริโภคสินค้าและบริการของไทย รวมทั้งการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นพลังอำนาจของสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ซึ่งอาจจะเป็น บุคคล สิ่งของ รวมทั้งวัฒนธรรมของคนไทยสามารถนำมาใช้เพื่อการโน้มน้าวโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจบังคับด้วยกำลังที่เรียกว่า “ฮาร์ดพาวเวอร์”
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมว่า ซอฟต์พาวเวอร์นั้นก็อาจส่งผลในทางลบได้เช่นเดียวกัน และในหลายกรณีก็จะเห็นว่าเป็นการส่งผลในทางลบโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว หรือไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำไป พลังอำนาจทางลบที่ถูกสร้างขึ้นก็มักจะเป็นสิ่งที่ชุมชน หรือคนในสังคม (ซึ่งในที่นี้ก็คงจะต้องหมายถึง ประชาชนทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายในประเทศนี้เอง) ที่มีพฤติกรรมและสร้างจนเป็นวิถีปฏิบัติ และอาจกลายเป็นวัฒนธรรมเลยก็เป็นได้ แต่เป็นวัฒนธรรมที่มีผลในทางลบ เช่น เรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเราในประเทศไทยที่เรามักจะไม่เคารพกฎ โดยเฉพาะกฎจราจร ที่เรามักจะบอกว่า ถ้าตำรวจไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร ขับรถย้อนศร ฝ่าไฟแดง กลับรถในที่ห้ามกลับ ฯลฯ แบบตำรวจไม่จับ ก็ถือว่าไม่ผิด พอเรา (คนในประเทศเอง) ทำ คนต่างชาติมาเห็น เขาก็คงเข้าใจว่า แบบนี้ก็ทำได้ (ซึ่งคนต่างชาติคนเดียวกันนี้ ถ้าอยู่ในประเทศเขาเอง เขาจะไม่ทำแบบนี้) ผลผลิต (Output) ที่เกิดขึ้นจากความมักง่ายของเรากันเอง ก็ทำให้เรามีความเสียหายจากอุบัติเหตุ ทั้งเสียชีวิต บาดเจ็บ หลายครั้งจนต้องพิกลพิการ และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน ถ้าคำนวณกันเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าจำนวนมาก (อาจจะเป็นถึงหมื่นล้านแสนล้านเมื่อคิดเป็นหลายปีรวมกัน) ความเสียหายในเชิงเศรษฐกิจมันไม่ได้จบแค่นั้น แต่ด้วยความที่เราทำกันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมของเราไปแล้วก็อาจจะว่าได้ มันก็กลายเป็นพลังอำนาจที่จะโน้มน้าว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย เลือกทำพฤติกรรมที่ไม่ดี ที่เขาไม่ทำในประเทศของเขา แต่มาทำในประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หนักเข้าก็เป็นการส่งสัญญาณให้กับชาวโลกได้รู้ว่า ถ้าจะมาทำอะไรที่จะเป็นการเลี่ยง เป็นการบิดเบือนกฎหมาย ก็มาทำในประเทศไทยจึงจะเหมาะสมที่สุด ถ้าจะถามหาตัวอย่างว่ามีตัวอย่างอะไรบ้าง ก็ลองดูพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนต่างชาติที่มาอยู่อาศัยในประเทศไทยในระยะหลัง (ลองเอาแค่ช่วงหลังโควิด ที่ปรากฏเป็นข่าว) ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร ใช่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือชาวต่างชาติประเภทที่เราอยากเชิญชวนให้เข้ามาท่องเที่ยว หรืออยู่อาศัยในประเทศเราหรือไม่ นอกจากนี้ พลังอำนาจทางลบที่เราสร้างขึ้นเอง ยังเป็นตัวดึงดูดคนต่างชาติที่จะเข้ามาทำเรื่องไม่ดี ทำธุรกิจผิด หรือเลี่ยงกฎหมายในประเทศอีกจำนวนมากที่เราก็ทราบกันดีว่าเรามี “ชาติ” เทา อยู่มากแค่ไหนในประเทศ เพราะเขารู้ว่าทำได้ ถูกจับก็สามารถเลี่ยงให้รอดได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของซอฟต์พาวเวอร์ทางด้านลบที่เกิดขึ้นกับเราอยู่ และกำลังสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้นทุนทางสังคม และบั่นทอนศักยภาพการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ
การจัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ต่อตนเอง ผลประโยชน์ต่อชุมชน ไปจนถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่เป็นข้อตกลงทางสังคม (Social Agreement) ซึ่งจะเป็นที่ยอมรับกันในสังคมไทย (หมายถึงเป็น Social Consensus) โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยกฎหมายมาบังคับ เป็นเพียงแต่การยอมรับของชุมชน หรือสังคม ในประเทศว่า สิ่งนั้นเราจะร่วมมือกันทำ สิ่งนี้เราจะไม่ทำ (แม้ว่าจะขัดต่อผลประโยชน์ของตนเอง เราก็จะไม่ทำ) ดูเหมือนจะมีความสับสนวุ่นวายในสังคมไทยพอสมควร (เวลาเรามีความไม่ลงตัวกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทบกระทั่งกันเล็กน้อย ก็จะสามารถถูกดึงมาใช้เชื่อมโยงจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในขณะที่เราพูดกันว่า “รักชาติ” แต่เราก็ยังคงไม่ได้เอาผลประโยชน์ของชาติขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงกว่าผลประโยชน์ส่วนตน คล้าย ๆ กับว่า “รักชาติ” แต่ก็ยังทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการทำผิดกฎจราจร กลับรถในที่ห้ามกลับรถ เราก็ยังทำกันอยู่เหมือนเป็นเรื่องปกติ และในหลายกรณี แม้ว่าจะเคยโดนจับ ก็ยังทำอยู่ เพราะถือว่าคราวที่โดนจับนั้นโชคไม่ดี ตำรวจมาเห็นเข้าพอดี แต่เราไม่ได้คิดว่า การกระทำของเรานั้น ในที่นี้คือ การกลับรถในที่ห้ามกลับรถ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย และสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น ต่อสังคม “เราไม่ได้สนใจ”) ภาพของพฤติกรรมทางสังคมเหล่านี้ จริงๆ แล้วเราก็จะเห็นได้ทั่วไปในต่างประเทศ ในประเทศที่พัฒนาแล้วที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น ในต่างประเทศพอเห็นคนจะข้ามถนนในทางข้าม (ทางม้าลาย) รถยนต์จะหยุดให้คนข้าม แต่ในประเทศไทย เรากลับเห็นข่าวคนถูกรถชนทั้ง ๆ ที่เดินข้ามในทางข้าม แถมรถที่ชนยังเป็นการขับแซงย้อนศรออกมาอีกด้วย การให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง (ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายบังคับ สังคมเขาปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติ คือ ไม่ทิ้งขยะ และเวลาทิ้งคัดแยก) การมีจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม การมีวินัยความพยายามในการรักษาบ้านเมืองให้สะอาด ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเพียงแต่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่มีพลัง โน้มน้าวให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีพฤติกรรมที่สอดคล้องและเกื้อกูลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (คือ เป็นสังคมที่มีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี) ที่ไม่เพียงแต่จะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราสูง ๆ GDP ไม่ต้องเติบโต 5% หรือ 10% แต่ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยพลังของซอฟต์พาวเวอร์นี้ ก็จะนำพาให้เรามี GDP ที่จะเติบโตได้เพิ่มขึ้นด้วย เพราะเราได้สร้างวัฒนธรรมที่ดี สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย (ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปเลียนแบบวัฒนธรรม หรือข้อปฏิบัติของประเทศใด) ยกตัวอย่างอีกซักตัวอย่างที่จะทำให้เห็นภาพว่าการมีข้อปฏิบัติทางสังคม (Social Norms) ที่ดีจะสามารถลดต้นทุนทางสังคม (Social Cost) และต้นทุนทางเศรษฐกิจ (Economic Cost) ได้อย่างไร ลองจิตนาการว่า ถ้าระบบรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) ใน กทม. เรามีข้อตกลงทางสังคมว่า พอขึ้นรถก็หยอดเหรียญจ่ายค่าโดยสาร (สมมุติว่า 5 บาท หรือจะใช้เทคโนโลยีการชำระเงินอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แค่นึกถึงการหยอดเหรียญเพราะเป็นระบบที่น่าจะมีต้นทุนต่ำ) ทุกคนพอขึ้นโดยสาร ก็รู้หน้าที่ว่าจะต้องจ่าย แต่ถ้ามีบ้างบางคนที่ไม่จ่าย ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ถือเสียว่าเขาลำบาก ไม่สามารถจ่ายได้ ก็ไม่ต้องจ่าย ตรงนี้คือส่วนที่ซอฟต์พาวเวอร์จะทำงานของมัน ถ้าเรามีซอฟต์พาวเวอร์กันจริง ๆ คนส่วนใหญ่หรือทุกคนก็จะจ่าย ถ้าไม่มีซอฟต์พาวเวอร์ในส่วนนี้ คนก็จะไม่จ่าย ก็เป็นเหตุให้เราต้องบังคับจ่ายโดยการมีพนักงานเก็บเงินขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ (ไม่ใช่การสร้างตำแหน่งงาน เพราะมันไม่มีความจำเป็นถ้าทุกคนต่างรู้ความรับผิดชอบว่าต้องชำระค่าโดยสาร) ต้นทุนที่ก่อขึ้นนั้นยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อมีพนักงานเก็บเงิน เราก็จะระแวงอีกว่า แล้วเขาจะโกงหรือเปล่า เขาจะตั้งใจเก็บเงินตามหน้าที่ที่เราจ้างเขามาทำหรือเปล่า เป็นเหตุให้ต้องจ้างคนอีก 1 คน เพื่อไปทำหน้าที่ในการตรวจสอบว่าพนักงานนั้นได้เก็บเงินตามหน้าที่เขาหรือยัง มีใครเล็ดลอดที่ยังไม่จ่ายค่าโดยสารหรือไม่ แล้วเราก็ไปสร้างระบบผูกค่าตอบแทนของพนักงานเก็บค่าโดยสารกับเงินค่าโดยสารที่เขาเก็บได้ โดยหวังว่าระบบนี้จะเป็นแรงจูงใจกระตุ้นให้เขาขยันไปทำหน้าที่เก็บค่าโดยสาร ปรากฏว่าด้วยระบบนี้ ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่พึ่งประสงค์ เช่น ขับแย่งผู้โดยสารกัน หยุดรับ-ส่งนอกป้าย ฯลฯ ทำให้การให้บริการรถเมล์ทั้งระบบมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แทนที่จะมีเพียงคนขับ 1 คนต่อการให้บริการ 1 คันเท่านั้น (แบบที่ในประเทศพัฒนาแล้วเขาเป็นกัน) เราต้องใช้คน 3 ตำแหน่ง ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น และมีต้นทุนทางสังคมจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดปัญหาจราจรติดขัด (ที่ผู้ขับขี่รถสาธารณะและผู้ขับขี่ส่วนตัวอื่นมักจะคิดแบบเข้าข้างตัวเองหรือเอาประโยชน์ตัวเองเป็นหลักหรือเป็นอันดับแรก ก็จะได้ยินคำเหล่านี้กันเสมอในสังคมไทย “แค่นี้เอง”, “นิดเดียวเอง”, “แป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอก”, หนักกว่านั้นก็ “ไม่มีน้ำใจ”, “ไม่เห็นใจคนจน”, “ไม่เห็นใจคนทำมาหากิน” ฯลฯ) โดยที่เราไม่ได้คิดเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นต้นทุนทางสังคม เป็นต้นทุนของประเทศที่ต้องแบกรับโดยคนทั้งชาติ เพราะมันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในทางลบ (Negative Soft Power) เมื่อมีมากขึ้น คนต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันเอง ก็จะมองว่ากฎหมาย กฎระเบียบไม่ใช่สิ่งที่ต้องเคารพในประเทศนี้ ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้การบังคับด้วยกฎหมายจริง ๆ ก็อ่อนด้อยลงไปด้วย ในเชิงนโยบาย การสร้างซอฟต์พาวเวอร์จึงไม่ใช่เพียงแค่ไปค้นหาของที่เรามีอยู่ (ไม่ว่าจะเป็น อาหาร บันเทิง ศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ) แล้วก็มาทำ “การประชาสัมพันธ์” ให้ผู้คนได้เห็น ได้รับทราบเท่านั้น ซอฟต์พาวเวอร์เป็นพฤติกรรม แนวปฏิบัติของคนในสังคม ที่มีคุณค่า สามารถสร้างมูลค่าได้ ซึ่งต้องเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น คนต่างชาติ และที่สำคัญคือ มันต้องเป็นแนวปฏิบัติ เป็นพฤติกรรมที่ดี เป็นสิ่งที่สังคมไทยจะทำเพราะดีต่อสังคมไทย แม้คนชาติอื่นจะไม่สนใจ หรือไม่เห็นคุณค่า ซึ่งการสร้างก็จะต้องใช้เวลา (มีผลในระยะยาว มีผลในระยะสั้น เป็นเพียงไปหยิบของที่มีอยู่แล้วมาประชาสัมพันธ์) การจะใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านเพื่อประชาสัมพันธ์ จะเกิดผลเมื่อเราไปหยิบของที่ถูก ตรงใจคนต่างชาติ มาใช้ในการประชาสัมพันธ์ แล้วต้องประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถูกต้องด้วย ในขณะเดียวกัน การสร้างทัศนคติที่ดีของสังคม (จากเรื่องเล็ก ๆ ที่เป็นพฤติกรรมประจำวัน ที่คนทุกคนมีส่วนร่วมได้) ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ และมีต้นทุนต่ำ ซึ่งถ้าทำได้ดี ก็จะเป็นมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องเทงบประมาณเป็นแสน ๆ ล้านเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ลองนึกภาพว่าถ้าคนไทยร่วมใจกันทำให้ประเทศ (หรือเพียงแค่ชุมชนที่ตัวเองอยู่อาศัย) สะอาด เป็นระเบียบ ช่วยกันสร้างให้ชุมชนมีความปลอดภัย เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (แทนที่จะบอกว่าอันนั้นเป็นเรื่องสาธารณะ เป็นงานที่ภาครัฐต้องเป็นคนทำ) เราจะดึงดูดนักท่องเที่ยว และทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้มากเพียงใด และจะทำให้ประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดมากเกินไป โดยจะต้องมีความร่วมมือร่วมใจกันของสังคม (ทุกคนต้องมีส่วนร่วม) ลดหรือเลิกทำในสิ่งที่สังคมเห็นว่าไม่ควรทำ ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าขาดหายไปในสังคมไทยตลอดช่วง 20-30 ปีของการพัฒนาของประเทศไทย การเลือกที่จะทำในสิ่งที่ควรทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มีต้นทุนน้อยกว่าการใช้การบังคับให้ไม่ทำ หรือการบังคับให้ทำในสิ่งที่ควรทำมาก ทำให้เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) จึงได้เน้นย้ำเรื่อง “ความรับผิดชอบ” มากในหลายข้อทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภค