รองศาสตราจารย์ ดร. ณดา จันทร์สม
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Email: nada@nida.ac.th
ประเทศไทยตกอยู่ในกับดักประเทศระดับรายได้ปานกลางมาเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ นับแต่ปี 1988 ที่เราเริ่มเข้าสู่ประเทศระดับรายได้ปานกลางระดับล่าง และมาถึงปี 2011 ที่เป็นประเทศระดับรายได้ปานกลางระดับบน กล่าวคือ มี GNI per capital สูงกว่า 4,046 ดอลลาร์สหรัฐตามค่า PPP ในเวลานั้น จนถึงปัจจุบัน (2025) ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถเข้าสู่กลุ่มประเทศระดับรายได้สูงได้ ซึ่งเกณฑ์ “ประเทศรายได้สูง” ตามข้อมูลของธนาคารโลกปี 2024 ต้องมี GNI per capita มากกว่า 13,845 ดอลลาร์สหรัฐ (Atlas method) ประเทศไทย ณ ข้อมูลปีล่าสุด (ประมาณ 2023) มี GNI ต่อหัวอยู่ที่ ประมาณ 7,000–8,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระดับรายได้ของไทยในปัจจุบันยังห่างจากเกณฑ์รายได้สูงพอสมควร รวมระยะเวลาที่ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศระดับรายได้ปานกลางมาแล้วมากกว่า 35 ปี
โจทย์สำคัญของประเทศไทยในวันนี้ คือทำอย่างไรที่จะให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน และสามารถเข้าสู่การเป็นประเทศระดับรายได้สูงให้ได้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “แรงงาน” เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญและมีบทบาทอย่างมาก นอกจากปัจจัยการผลิตทางด้านทุน
ผลิตภาพแรงงาน = กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว |
เพราะการเพิ่มผลิตภาพแรงงานจะช่วยเพิ่มผลผลิตโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณแรงงาน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
“ผลิตภาพแรงงาน” (Labor Productivity) หมายถึง ระดับประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงาน หรือกล่าวง่าย ๆ คือ ปริมาณผลผลิตที่แรงงานหนึ่งคนสามารถผลิตได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง (เช่น หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หรือหนึ่งปี)
ความสัมพันธ์เชิงทฤษฎีระหว่างผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) และการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth)
หนึ่งในประเด็นสำคัญในเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและสามารถอธิบายได้ผ่านกรอบแนวคิดและแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ต่าง ๆ ดังนี้
ความสัมพันธ์พื้นฐาน ผลิตภาพแรงงานสูงขึ้น → ผลผลิตต่อหัวสูงขึ้น
เมื่อแรงงานแต่ละคนผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมก็สามารถสร้างผลผลิต (GDP) ได้มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนแรงงานเท่ากัน การเติบโตของ GDP ต่อหัว ขึ้นอยู่กับ การเติบโตของผลิตภาพแรงงาน มากกว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนแรงงาน โดยเฉพาะในประเทศที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างประเทศไทย
กรอบแบบจำลองการเติบโตทางเศรษฐกิจของโซโลว์ (Solow Growth Model) ระบุว่าผลิตภาพแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของ “ปัจจัยเชิงเทคโนโลยี” (Total Factor Productivity หรือ TFP) ในระยะยาว การเติบโตของเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับ การเติบโตของ TFP หรือการเพิ่มผลิตภาพ (รวมถึงผลิตภาพแรงงาน)
GDP = A × f(K, L) |
เมื่อ
A = ผลิตภาพรวมของปัจจัยการผลิต (รวมผลิตภาพแรงงาน)
K = ทุน
L = แรงงาน
โดยสรุป กลไกที่ผลิตภาพแรงงานส่งผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจ
ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น นำไปสู่… | ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ |
การผลิตต่อคนเพิ่ม | GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้น |
ต้นทุนการผลิตลดลง | ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น |
รายได้แรงงานเพิ่ม | การบริโภคภายในประเทศเพิ่ม |
ภาษีและรายได้รัฐเพิ่มขึ้น | รัฐสามารถลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน |
การจ้างงานในภาคที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น | การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ระยะยาว |
โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยรายงานของ ธนาคารโลก (World Bank) และ IMF พบว่า ประเทศที่สามารถเพิ่มผลิตภาพแรงงานได้ต่อเนื่อง เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มักมี การเติบโตทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน และสามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ สำหรับประเทศไทย การเติบโตของ GDP ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการย้ายแรงงานจากภาคเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมและบริการ ซึ่งเป็น “การเพิ่มผลิตภาพแรงงานเชิงโครงสร้าง”
การเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน ข้อมูลจากรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO, 2023) แสดงให้เห็นว่าผลิตภาพแรงงานของประเทศในอาเซียนมีความแตกต่างกัน โดยประเทศไทยมีผลิตภาพแรงงานอยู่ในระดับกลางของอาเซียน โดยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ แต่ยังต่ำกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์อย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศ | ผลิตภาพแรงงาน (GDP ต่อชั่วโมงทำงาน, 2023, US$ PPP) |
สิงคโปร์ | 78.2 |
มาเลเซีย | 35.5 |
ไทย | 20.5 |
อินโดนีเซีย | 15.6 |
เวียดนาม | 13.5 |
ฟิลิปปินส์ | 12.9 |
กัมพูชา | 8.9 |
เมื่อเปรียบเทียบผลิตภาพแรงงานในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ พบว่า ภาคการเกษตร แม้จะมีแรงงานประมาณ 30% ของประเทศ แต่สร้าง GDP เพียง 8-10% เท่านั้น สะท้อนถึงผลิตภาพแรงงานที่ต่ำ ในขณะที่ ภาคอุตสาหกรรม: มีแรงงานประมาณ 14% แต่สร้าง GDP ถึง 35% แสดงถึงผลิตภาพแรงงานที่สูงกว่า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออก และภาคบริการ มีแรงงานประมาณ 46% และสร้าง GDP ประมาณ 56% โดยเฉพาะในสาขาการเงิน การท่องเที่ยว และการค้าปลีก
ปัจจัยที่มีผลต่อผลิตภาพแรงงาน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน อาจพิจารณแบ่งเป็นปัจจัยย่อย ได้แก่
1. ทักษะและการศึกษาของแรงงาน (Human Capital)
- ระดับการศึกษา แรงงานที่ได้รับการศึกษาสูงมักมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเรียนรู้ที่ดีกว่า
- การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ การจัดอบรมอย่างต่อเนื่องจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
- ประสบการณ์การทำงาน การมีประสบการณ์ในสายงานจะช่วยให้แรงงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องมือการผลิต
- การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบ ERP, ระบบอัตโนมัติ (Automation), AI ซึงช่วยลดเวลาและข้อผิดพลาดในการทำงาน
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย การลงทุนในเครื่องมือการผลิตที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อแรงงาน
- การเชื่อมต่อดิจิทัล การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้แรงงานทำงานได้อย่างคล่องตัว
3. สภาพแวดล้อมในการทำงาน (Work Environment)
- ความปลอดภัยและสุขอนามัย สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยช่วยลดการขาดงานและเพิ่มความตั้งใจในการทำงาน
- วัฒนธรรมองค์กร การส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานเป็นทีมและนวัตกรรมส่งผลบวกต่อผลิตภาพ
- สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ทำงานที่เหมาะสมและการมีเครื่องมือสนับสนุนเพียงพอมีผลต่อประสิทธิภาพของแรงงาน
4. โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม
- ระบบคมนาคมขนส่ง ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดเวลาการเดินทางของแรงงานและวัตถุดิบ
- ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการผลิตอย่างต่อเนื่อง
- ระบบโทรคมนาคม การสื่อสารที่รวดเร็วช่วยในการตัดสินใจและบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
5. นโยบายของรัฐและกฎหมายแรงงาน
- กฎหมายแรงงานที่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น การคุ้มครองสิทธิแรงงาน การกำหนดชั่วโมงทำงานที่เหมาะสม
- มาตรการส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของแรงงาน
- การให้แรงจูงใจภาษีแก่ภาคเอกชน เพื่อลงทุนในทรัพยากรมนุษย์หรือเทคโนโลยี
6. แรงจูงใจในการทำงาน (Work Motivation)
- ค่าตอบแทนและสวัสดิการ รายได้และสิทธิประโยชน์ที่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้แรงงานทำงานอย่างเต็มที่
- โอกาสความก้าวหน้าในงาน การเห็นเส้นทางความเจริญก้าวหน้าในอาชีพช่วยให้แรงงานมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง
- การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แรงงานที่มีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจจะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
7. การจัดการและภาวะผู้นำขององค์กร
- ประสิทธิภาพของผู้จัดการ การบริหารจัดการที่ดีช่วยให้ทรัพยากรแรงงานถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- รูปแบบการบริหาร การบริหารแบบมีส่วนร่วมและการเปิดโอกาสให้แรงงานแสดงความคิดเห็นช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
- ความสามารถในการวางแผนและควบคุม องค์กรที่มีระบบวางแผนที่ดีสามารถจัดสรรงานและแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. โครงสร้างทางเศรษฐกิจและระดับการพัฒนา
- โครงสร้างเศรษฐกิจ ประเทศที่มีสัดส่วนแรงงานในภาคบริการหรืออุตสาหกรรมมากกว่าภาคเกษตร มักมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่า
- ระดับการพัฒนา ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงมักมีทรัพยากรสำหรับลงทุนในการพัฒนาผลิตภาพแรงงานมากกว่า
- การเปิดเสรีทางการค้า การเชื่อมโยงกับตลาดโลกช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและการพัฒนาภาคแรงงาน

กลยุทธ์การเพิ่มผลิตภาพแรงงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย
การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ไม่เพียงแต่เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ สำหรับประเทศไทย การยกระดับผลิตภาพแรงงานควรดำเนินควบคู่กับการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงานที่มีคุณค่า และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล แนวทางเชิงกลยุทธ์ในการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ผู้กำหนดนโยบายควรต้องเร่งผลักดันกลยุทธ์ในการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในประเด็นหลัก ดังนี้
1. การลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์
- ยกระดับการศึกษาและฝึกอบรม: พัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สีเขียว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
- การเรียนรู้ตลอดชีวิต: สนับสนุนให้แรงงานทุกช่วงวัยเข้าถึงระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เช่น การเรียนออนไลน์ การฝึกอบรมสั้น และการรับรองสมรรถนะวิชาชีพ
- ส่งเสริมทักษะด้าน soft skills: เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และความสามารถในการปรับตัว
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการผลิต
- ยกระดับระบบขนส่งและโลจิสติกส์: เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการผลิต เช่น ระบบราง รถไฟความเร็วสูง ท่าเรืออัจฉริยะ
- ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ให้แรงงานในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและการทำงานระยะไกล
- สนับสนุนเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ: ที่ผสานเทคโนโลยีสะอาดกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
3. การสร้างแรงจูงใจเพื่อการทำงานที่มีคุณค่า
- ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน: เช่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุข สวัสดิการพื้นฐาน และที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึง
- สนับสนุนงานที่มีคุณค่า (Decent Work): ส่งเสริมการจ้างงานอย่างเป็นธรรม ปลอดภัย และมีโอกาสในการเติบโต
- ระบบค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและแข่งขันได้: เพื่อกระตุ้นให้แรงงานพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
4. การเร่งเครื่องนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน
- การปรับใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) และ AI: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม โดยไม่ทิ้งแรงงานเดิมไว้ข้างหลัง
- ส่งเสริมนวัตกรรมในภาคบริการและเกษตรกรรม: เช่น การใช้ Big Data ในการจัดการฟาร์ม หรือการพัฒนาแอปพลิเคชันบริการลูกค้า
- สนับสนุน SMEs และ start-ups ที่มีแนวทางธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social/Green Enterprises)
5. การบูรณาการนโยบายกับเป้าหมาย SDGs
- แรงงานและ SDG 8: พัฒนาการจ้างงานที่มีคุณค่าและเพิ่มผลิตภาพแรงงานไปพร้อมกัน
- การลดความเหลื่อมล้ำ (SDG 10): ผ่านการลงทุนในระบบการเรียนรู้ในชนบท และการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงงานที่มีคุณภาพ
- การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน (SDG 12): เชื่อมโยงการปรับกระบวนการผลิตที่ลดของเสียและปล่อยก๊าซเรือนกระจก กับการเพิ่มผลผลิตแรงงาน
6. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
- ภาครัฐ: ต้องมีนโยบายระยะยาวชัดเจน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและบูรณาการฐานข้อมูลแรงงานและเศรษฐกิจ
- ภาคเอกชน: ควรลงทุนในการพัฒนาทักษะแรงงานของตนเอง และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าปริมาณ
- ภาคประชาสังคมและแรงงาน: มีบทบาทในการกำหนดแนวทางและการติดตามนโยบายที่สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนและความยั่งยืน
บทส่งท้าย
โดยภาพรวม จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีผลิตภาพแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีช่องว่างในการพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศที่มีผลิตภาพแรงงานสูงในอาเซียน เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถทำได้ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยภาคการเกษตร ผลิตภาพแรงงานต่ำที่สุด ควรได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีและการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภาคอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีผลิตภาพแรงงานสูง แต่ยังมีโอกาสในการพัฒนาเพิ่มเติมผ่านนวัตกรรมและการลงทุน และ ภาคบริการ ผลิตภาพแรงงานสูงสุด มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม
กลยุทธ์การเพิ่มผลิตภาพแรงงานที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ต้องอาศัยการออกแบบนโยบายแบบองค์รวม ที่มีการร่วมมือจากทุกภาคส่วน และยึดหลัก “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” การพัฒนาแรงงานไม่ใช่เพียงเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานของสังคมที่มีความเป็นธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นคง
เอกสารอ้างอิง
International Labour Organization (ILO). 2023. World Employment and Social Outlook Trends.
ASEAN Secretariat. 2021. Regional Study on Labour Productivity in ASEAN. ข้อมูลระดับรายได้
https://data.worldbank.org/indicator/NY.GNP.PCAP.CD?locations=TH&utm_source=chatgpt.com
https://datahelpdesk.worldbank.org/knowledgebase/articles/906519-world-bank-country-and-lending-groups?utm_source=chatgpt.com