รศ.ดร. อภิรดา ชิณประทีป
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เป็นวันที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าบริหารประเทศครบ 4 เดือน 6 วัน หลังจากเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ซึ่งตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งก็ได้ประกาศใช้นโยบายมากมาย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงชายแดน และการต่างประเทศ โดยยังคงมุ่งเน้นแนวทาง “America First” ที่เคยใช้ในสมัยแรก
สรุปนโยบายที่ดำเนินการแล้วของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (20 มกราคม – 26 พฤษภาคม 2568)
ลำดับ | นโยบายที่ดำเนินการแล้ว | สาระสำคัญ | วันประกาศใช้ |
1 | ลดภาษีสำหรับภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป | กระตุ้นการลงทุน เพิ่มกำลังซื้อ และสร้างงานในประเทศ | 1 กุมภาพันธ์ 2568 |
2 | ฟื้นโครงการสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก | เสริมความมั่นคงชายแดน ลดการเข้าเมืองผิดกฎหมาย | 5 กุมภาพันธ์ 2568 |
3 | คำสั่งฝ่ายบริหาร “America First Trade Review” | ทบทวนข้อตกลงการค้าเพื่อปกป้องแรงงาน และอุตสาหกรรมในประเทศ | 10 กุมภาพันธ์ 2568 |
4 | นโยบายต่อต้าน “woke” ในหน่วยงานรัฐและการศึกษา | ห้ามอบรมหรือส่งเสริมแนวคิดด้านอัตลักษณ์ ทางเพศและเชื้อชาติที่ไม่เป็นกลางในระบบ ราชการ | 20 กุมภาพันธ์ 2568 |
5 | อนุมัติการขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่อาร์กติก | เพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างชาติ | 1 มีนาคม 2568 |
6 | สนับสนุนโรงเรียนทางเลือก (Charter Schools) | ส่งเสริมทางเลือกด้านการศึกษา เพิ่มเสรีภาพของผู้ปกครองและนักเรียน | 15 มีนาคม 2568 |
7 | ถอนตัวจากข้อตกลงสิ่งแวดล้อมบางฉบับ | ลดภาระกฎระเบียบสิ่งแวดล้อม กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการผลิต | 30 มีนาคม 2568 |
อ้างอิง:
- แถลงการณ์ทำเนียบขาว เรื่องลดภาษี (1 กุมภาพันธ์ 2568)
- รายงานกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เรื่องกำแพงชายแดน (5 กุมภาพันธ์ 2568)
- คำสั่งฝ่ายบริหาร America First Trade Review (10 กุมภาพันธ์ 2568)
- คำสั่งฝ่ายบริหารต่อต้าน woke (20 กุมภาพันธ์ 2568)
- ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่องขุดเจาะอาร์กติก (1 มีนาคม 2568)
- รายงานกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องทุนโรงเรียนทางเลือก (15 มีนาคม 2568)
- ประกาศ EPA เรื่องสิ่งแวดล้อม (30 มีนาคม 2568)
บทวิเคราะห์นโยบายการค้า: สหรัฐฯ ทองคำ และอัตราแลกเปลี่ยน
จากคำถามที่ท่านผู้อ่านได้สอบถามมาเกี่ยวกับนโยบายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของการกีดกันทางการค้าและการจ้างงานและทุกประเด็นที่ถามมา ถือเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก โดยผู้เขียนขอตอบประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้
1. นโยบายกีดกันทางการค้าจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน?
นโยบาย กีดกันทางการค้า (Protectionism) เป็นแนวคิดที่ปรากฏขึ้นเป็นระยะในประวัติศาสตร์การค้าโลก โดยมีจุดประสงค์หลักในการปกป้องอุตสาหกรรมและแรงงานภายในประเทศ ในทางทฤษฎีการค้าสมัยใหม่ แนวคิดนี้ได้พัฒนาไปสู่หลากหลายมุมมอง เช่น ทฤษฎีการค้าแบบ North-South และทฤษฎี การลอกเลียนแบบ (Imitation Theory) ซึ่งในมุมมองผู้เขียนล้วนเป็นทฤษฎีที่อาจมีความขัดแย้งกับกระแสหลักของการค้าเสรี (Trade Liberalization) และ โลกาภิวัตน์ (Globalization) อยู่พอสมควร
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้ศึกษาและเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้มากว่าสิบปี (อ้างอิง: Apirada Chinprateep. “Shenzhen’s experience might have some lessons for Trump.” The Nation, 22 พฤศจิกายน 2016 สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ https://www.nationthailand.com/business/30300591) พบว่าการใช้นโยบาย กีดกันทางการค้า (Protectionism) มีที่มาที่ไป และมักมาพร้อมกับการจำกัดการไหลเวียนของความรู้และเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในภาพรวมได้ ดังนั้น ระยะเวลาที่นโยบายนี้จะคงอยู่ได้จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดนโยบาย อาทิ ความกังวลด้านการจ้างงานภายในประเทศ, ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์
2. ผลกระทบของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อทองคำและอัตราแลกเปลี่ยน
การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง นโยบายที่เคยเน้นการกีดกันทางการค้าและ “America First” อาจส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาด ทองคำ และ อัตราแลกเปลี่ยน โดยรวมดังนี้:
- ทองคำ: นโยบายที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ มักจะผลักดันให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven Assets) อย่างทองคำ ดังนั้น หากนโยบายของทรัมป์สร้างความผันผวนหรือความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- อัตราแลกเปลี่ยน: นโยบายที่ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและการลดการนำเข้า อาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ในระยะสั้น เนื่องจากความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากนโยบายดังกล่าวนำไปสู่สงครามการค้าหรือการตอบโต้ทางการค้าจากประเทศคู่ค้า อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงและกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะยาวได้ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ประเด็นเพิ่มเติม: นโยบายแรงงานและการจ้างงาน
สิ่งที่ผู้เขียนได้ค้นคว้าไว้และพบว่ายังไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนักคือ ในช่วงที่นโยบายกีดกันทางการค้าถูกนำมาใช้ในอดีต (เช่น ในสมัยที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่ง) แม้จะมีการกีดกันแรงงานต่างชาติในบางส่วน แต่กลับพบว่าอัตราการจ้างงานในกลุ่ม แรงงานทักษะไม่สูงนัก ภายในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การทดแทนแรงงานคนด้วยเทคโนโลยี (Substitution and Specialization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต ยังคงเป็นแนวโน้มที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น แม้จะมีการกีดกันแรงงานต่างชาติในบางช่วง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจยังคงต้องการ แรงงานถูกกฎหมาย เพิ่มเติมเข้ามาในตลาดแรงงาน ก่อนที่การผลักดันการใช้เทคโนโลยีจะเข้ามาทดแทนแรงงานส่วนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต (ความเห็นส่วนตัว)
ผู้เขียนขอขอบคุณคณะกรรมการและสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ที่ให้โอกาสในการนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ในตำราเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนไว้ในหนังสือ “เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศและการประยุกต์ใช้: โลกทศวรรษ 2020” (อภิรดา ชิณประทีป, 2563, กรุงเทพมหานคร, สำนักพิมพ์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์)
สรุปแนวโน้มการกีดกันทางการค้าในปี 2568 และปัจจัยที่ต้องจับตา
ผู้เขียนยังคงคาดการณ์ว่าประเด็นการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 แม้ว่าอาจมีการผ่อนปรนในระดับหนึ่ง แต่ตลาดก็ยังคงมีความผันผวนขึ้น-ลง ได้ตลอดทั้งปี เมื่อใกล้สิ้นปี 2568 เราอาจมีโอกาสกลับมาพูดคุยถึงสถานการณ์ในภาพรวมอีกครั้ง
ในเรื่องของผลกระทบต่อทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนในภาพรวมนั้น ในความเป็นจริงจะต้องมีการทดสอบทาง เศรษฐมิติ เพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขออ้างอิงถึงช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งเปรียบได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หรือที่เรียกว่า “Shock” ในทางเศรษฐศาสตร์ ช่วงเวลานั้นได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะทองคำและราคาพลังงาน ซึ่งผู้เขียนเคยได้เขียนบทความเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ต่อราคาทองคำ น้ำมัน และตลาดหุ้นไว้ก่อนหน้านี้ (อ้างอิง: อภิรดา ชิณประทีป, 29 มิถุนายน 2564, โพสต์ทูเดย์: ผลกระทบโควิด กับเศรษฐกิจ ทองคำ น้ำมัน ตลาดหุ้น สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ https://www.posttoday.com/columnist/656674)
สำหรับแนวโน้มในปี 2568 (ตามความเห็นผู้เขียน) คิดว่าในระยะสั้นถึงปานกลาง (ภายใน1-2เดือนข้างหน้าและจนถึงสิ้นปี) ตลาดยังคงมีความผันผวนขึ้นลง ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยได้แก่ การขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศหลัก ๆ ของโลก เช่น จีนและยุโรป รวมถึงสถานการณ์ สงครามที่ยังไม่สิ้นสุด ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย และความไม่สงบในอิสราเอลและตะวันออกกลาง ส่วนความไม่สงบในภูมิภาคอื่น ๆ อาจมีผลบ้าง
ราคา ทองคำ และ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 ?
เพื่อให้ภาพรวมเกี่ยวกับราคา ทองคำ และ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลและการคาดการณ์จากแหล่งต่าง ๆ มานำเสนอในตารางด้านล่างนี้ โดยตระหนักว่าสถานการณ์จริงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก
สินทรัพย์/สกุลเงิน | หน่วย | การคาดการณ์จากแหล่งต่าง ๆ ณ เวลานี้ | ปัจจัยสนับสนุน/ข้อควรพิจารณา |
ราคาทองคำโลก | ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ | – สมาคมค้าทองคำ (GTA) และ Bangkok Post: อาจถึง $3,400 ในไตรมาสที่ 3 และมีโอกาสแตะ $3,057.21 (ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเดิม ณ เดือนมีนาคม 2568) – Goldman Sachs: ปรับเพิ่มคาดการณ์เป็น $3,300 ปลายปี 2568 และคาดการณ์ช่วง $3,250-$3,520 อาจถึง $3,410 หากมีการลดดอกเบี้ยโดย Fed จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ $3,680 หากความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่าช่วงโควิด-19 – YLG: คาดการณ์ช่วง $3,100 – $3,150 – ฮั่วเซ่งเฮง: เป้าหมาย $3,360 และอาจถึง $4,000 ในระยะยาว (อ้างอิงจาก Money & Banking Magazine) | – ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และสงคราม: สงครามยูเครน-รัสเซีย, ความไม่สงบในอิสราเอลและตะวันออกกลาง – นโยบายกีดกันทางการค้า: โดยเฉพาะโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง – ความต้องการจากธนาคารกลาง: มีแนวโน้มซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 – การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed): ทำให้ทองคำที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยน่าสนใจขึ้น – ความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย: จากสงครามการค้าโลกมีแนวโน้มรุนแรง – เงินดอลลาร์เริ่มสูญเสียบทบาทสำคัญในทุนสำรอง |
ราคาทองคำในประเทศ | บาท/บาททองคำ | – สมาคมค้าทองคำ (GTA): อาจแตะ 50,000 บาท/บาททองคำ ในไตรมาสที่ 2 และอาจถึง 46,000 บาทในระยะยาว | – ราคาทองคำโลก: เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลโดยตรง – อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ: มีผลต่อการแปลงราคาทองคำโลกเป็นราคาในประเทศ |
ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ | บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ | – กระทรวงการคลัง: คาดการณ์เฉลี่ย 35.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 โดยอ่อนค่ามากที่สุดในไตรมาสที่ 2 และแข็งค่าขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 – Standard Chartered Bank (Thai): คาดอ่อนค่าลงไปที่ประมาณ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงกลางปี 2568 และอาจฟื้นตัวมาที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายปี – Trading Economics: คาดการณ์ที่ 33.42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นไตรมาสปัจจุบัน | – นโยบายการค้าของสหรัฐฯ: สงครามการค้าอาจทำให้เงินบาทผันผวน – ข้อมูลเศรษฐกิจจากจีนและสหรัฐฯ: มีผลต่อความต้องการเงินดอลลาร์ – นโยบายการเงินของ Fed: การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและส่งผลต่อค่าเงินบาท – ผลการดำเนินงานภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย: มีผลต่อเงินทุนไหลเข้า-ออก – เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศและการดำเนินนโยบาย – ความต้องการของทรัมป์ที่ต้องการให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง (อาจเพิ่มความผันผวนในตลาด) |
ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากผู้เขียน:
- การทดสอบทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และเศรษฐมิติ: ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านอาจพิจารณาว่าการคาดการณ์เหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น การทดสอบทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และเศรษฐมิติจะช่วยให้สามารถตอบได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นและละเอียดมากยิ่งขึ้น
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน หากท่านผู้อ่านมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เสมอค่ะ
สำหรับรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับทฤษฎีและผลกระทบของนโยบายเหล่านี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารอ้างอิง หรือเข้าร่วมฟังบรรยายในหลักสูตรของคณะ เช่น หลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเงิน หรือหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และอื่น ๆ เพื่อการอภิปรายและทำความเข้าใจอย่างละเอียด ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง : )