“ภาษียาสูบ” กับบทบาททางเศรษฐศาสตร์: ภาษีเพื่อสุขภาพ หรือภาษีเพื่อรายได้?

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ในโลกของเศรษฐศาสตร์ “ภาษี” ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเครื่องมือในการชี้นำพฤติกรรมของผู้คนด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคือ “ภาษีบาป” ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสังคม เช่น สุรา ยาสูบ และการพนัน โดยเฉพาะ “ภาษียาสูบ” ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งกับเศรษฐกิจ สุขภาพ และสวัสดิการของประชาชนในระยะยาว

เหตุผลหลักที่รัฐเลือกจัดเก็บภาษีจากยาสูบมีอยู่สองประการ หนึ่งคือการลดการบริโภคยาสูบเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน เนื่องจากการสูบยาสูบเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงหลายชนิด ทั้งโรคหัวใจ มะเร็งปอด และถุงลมโป่งพอง ซึ่งก่อให้เกิดภาระทางงบประมาณในระบบสาธารณสุขอย่างมหาศาล การปรับเพิ่มราคายาสูบด้วยการเก็บภาษีจึงถือเป็นมาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ได้ผลในแง่ของการลดจำนวนผู้สูบ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อยที่มีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่ากลุ่มอื่น อีกเหตุผลหนึ่งคือการนำรายได้จากภาษีมาใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมด้านสุขภาพ เช่น การรณรงค์เลิกยาสูบ การรักษาผู้ป่วย และการสนับสนุนบริการสาธารณสุขในวงกว้าง

ในประเทศไทย รัฐบาลได้ใช้การจัดเก็บภาษียาสูบทั้งในรูปแบบ “ตามมูลค่า” (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาขายปลีก) และ “ตามปริมาณ” (คิดเป็นจำนวนบาทต่อมวน) ควบคู่กัน เพื่อให้สามารถควบคุมราคายาสูบได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นโยบายนี้ช่วยลดโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันไปเลือกยาสูบราคาถูกแทนยาสูบที่มีราคาแพงขึ้นจากภาษี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการปรับโครงสร้างภาษียาสูบหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น การปฏิรูปภาษีในปี 2560 ที่มุ่งให้เกิดความเป็นธรรมในการเก็บภาษีระหว่างยาสูบราคาต่ำและสูง พร้อมทั้งผลักดันให้ราคายาสูบโดยรวมสูงขึ้นในตลาด

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญก็คือ “ควรเก็บภาษียาสูบสูงแค่ไหนถึงจะพอดี?” แม้ว่าภาษีที่สูงขึ้นจะช่วยลดการบริโภคได้ แต่หากเก็บภาษีสูงเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางลบที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การลักลอบนำเข้ายาสูบเถื่อนจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษี อีกทั้งยาสูบเถื่อนยังไม่มีการควบคุมคุณภาพหรือการเตือนภัยสุขภาพใด ๆ ผู้บริโภคจึงอาจได้รับอันตรายเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ การเก็บภาษีในอัตราสูงอาจกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยที่ยังเลิกสูบไม่ได้ ทำให้พวกเขาต้องใช้จ่ายกับยาสูบมากขึ้นจนกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ พนักงานโรงงานผลิต และร้านค้าปลีกที่ยังพึ่งพาอุตสาหกรรมนี้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท

จากประสบการณ์ของหลายประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และแคนาดา พบว่าการขึ้นภาษียาสูบมีส่วนช่วยลดการสูบได้จริง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของการควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ภาษีจากยาสูบคิดเป็นอย่างน้อย 75% ของราคาขายปลีก ซึ่งเป็นระดับที่สามารถมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค แต่ในหลายประเทศรวมถึงไทย ยังไม่ได้ปรับถึงระดับนั้นอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ

ในทางเศรษฐศาสตร์ แนวทางที่สมดุลอาจไม่ใช่การผลักดันภาษีให้สูงที่สุด แต่คือการออกแบบโครงสร้างภาษีให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ โดยต้องพิจารณาร่วมกับมาตรการเสริมอื่น ๆ เช่น การให้ความรู้ การควบคุมโฆษณา การห้ามขายแก่เยาวชน การแสดงภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ และการสนับสนุนการเลิกสูบอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกรหรือแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวสู่อาชีพอื่นได้อย่างมั่นคง

ท้ายที่สุด ภาษียาสูบไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์หรือยอดรายได้ของรัฐ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม การจัดการภาษีในลักษณะนี้จึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ความเข้าใจ และความร่วมมือจากหลายภาคส่วน หากรัฐสามารถใช้ภาษียาสูบเป็นเครื่องมือเชิงสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งบริหารจัดการรายได้ให้กลับคืนสู่ระบบสาธารณสุขหรือกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง ก็จะทำให้ “ภาษีบาป” กลายเป็น “ภาษีเพื่อสังคม” ที่สร้างผลดีทั้งต่อปัจเจกและสังคมในระยะยาวได้อย่างแท้จริง