อดทนจนกว่าจะแลนด์ (ยังไม่แลนด์ก็วนต่อไป)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัธกฤตย์ เทพมงคล
คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

มนุษย์มีแนวโน้มจะจดจำความทุกข์ได้ชัดกว่าความสุข สนใจข้อเสียมากกว่าข้อดี และมองเห็นข้อบกพร่องมากกว่าความปกติ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจเจกชน แต่มันกลายเป็นกลไกที่ทำให้สังคมเคลื่อนตัวไปแบบวกกลับมาที่เดิม เราจึงเห็นแนวคิดหลักในแต่ละยุคผลัดกันขึ้นมาเป็นกระแส ก่อนจะถูกท้าทายและถูกแทนที่ด้วยขั้วตรงข้าม วนเวียนไปมาเป็นวัฏจักร

จากรุ่งเรืองสู่เสื่อมถอย แล้วเริ่มใหม่

เมื่อแนวคิดหนึ่งได้รับความนิยม มันจะถูกผลักดันอย่างเต็มที่จนกลายเป็นมาตรฐานของสังคม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเสียของมันก็เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนมักให้ความสนใจแต่ข้อเสีย จนลืมไปว่าเหตุใดแนวคิดนี้จึงถูกเลือกตั้งแต่แรก และเมื่อความไม่พอใจสะสมถึงจุดหนึ่ง ขั้วตรงข้ามก็จะได้รับความนิยมแทน จนกระทั่งมันเองก็เผยข้อเสียและถูกท้าทายอีกครั้ง

ตัวอย่างที่ 1: จากแข็งแกร่งสู่เปราะบาง และกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ยุค Baby Boomer และ Gen X ยกย่องความแข็งแกร่งของปัจเจก “ใครอ่อนแอก็แพ้ไป” สังคมให้ค่ากับผลลัพธ์มากกว่าความรู้สึก แต่เมื่อ Gen Y เติบโตขึ้นมาในสังคมที่การกลั่นแกล้งเป็นเรื่องปกติ พวกเขากลับให้ความสำคัญกับความเห็นใจและความเท่าเทียม นำไปสู่ยุคของ Gen Z ที่พยายามลดการกดขี่ทุกรูปแบบ จนกระแส “Woke” เกิดขึ้น แต่เมื่อความอ่อนไหวมากเกินไปจนกระทบเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กระแสตีกลับจึงเกิดขึ้น ผู้คนเริ่มหวนหาความเข้มแข็งและความอดทนมากขึ้น เป็นไปได้ว่า Gen Alpha จะวกกลับไปให้คุณค่ากับแนวคิดที่ยกย่องความแข็งแกร่งอีกครั้ง

ตัวอย่างที่ 2: การค้าเสรี กับนโยบายกีดกันทางการค้า

เศรษฐศาสตร์ชี้ว่าการค้าเสรีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความมั่งคั่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบด้านลบ เช่น การโยกย้ายแรงงานและการสูญเสียอุตสาหกรรมในประเทศ เริ่มชัดขึ้น ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ ที่เคยผลักดันการค้าเสรี จึงเริ่มกลับไปใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ต่างคนต่างตั้งกำแพงภาษีโต้ตอบกันไปมา ในวันข้างหน้าเมื่อนโยบายนี้ทำให้เศรษฐกิจซบเซา สินค้าและบริการมีต้นทุนที่สูง ราคาที่แพง ความกินดีอยู่ดีลดต่ำลง เราอาจได้เห็นการค้าเสรีกลับมาอีกครั้ง วนเวียนไปเช่นนี้

ตัวอย่างที่ 3: ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ

ไทยเปลี่ยนผ่านระหว่างประชาธิปไตยและรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อประชาชนเบื่อหน่ายนักการเมืองที่คอร์รัปชัน ก็หวังพึ่งทหาร แต่เมื่อทหารเข้ามา การจำกัดเสรีภาพและการชะลอการพัฒนา เศรษฐกิจตกต่ำ การปกครองระบบคนดีแบบไร้กระบวนการตรวจสอบใด ๆ ประชาชนจึงเรียกร้องประชาธิปไตยกลับมา แต่เมื่อกลับมาแล้ว ข้อผิดพลาดของนักการเมืองก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง นายกไร้ซึ่งภาวะผู้นำบ้าง พรรคตระบัติสัตย์บ้าง ทำเศรษฐกิจไม่ดีอย่างที่พูดบ้าง ซึ่งไม่ทันไรก็กระแสสนับสนุนการแทรกแซงของทหารก็เริ่มจะหวนคืนมา วังวนรัฐประหารนี้ทำให้ไทยไม่สามารถหลุดไปสู่สังคมประชาธิปไตยแบบประเทศพัฒนาแล้วเสียที

เราจะออกจากวัฏจักรนี้ได้หรือไม่?

การเปลี่ยนแปลงแนวคิดเป็นเรื่องปกติของสังคม แต่ระยะเวลาที่ใช้ในวัฏจักรนี้ต่างกันไป สังคมที่เรียนรู้และปรับตัวเร็ว ย่อมออกจากวังวนนี้ได้เร็วกว่า ในขณะที่สังคมที่ยึดติดกับการมองแต่ข้อเสียโดยไม่เรียนรู้จากอดีต จะติดอยู่ในวงจรนี้ต่อไป

กุญแจสำคัญคือการศึกษาที่แข็งแกร่งและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถคิดวิเคราะห์รอบด้าน การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ช่วยลดระยะเวลาของวัฏจักร และนำไปสู่ดุลยภาพที่ยั่งยืนได้ในที่สุด