ตลาดหุ้นไทยขาลง โอกาสของการลงทุน?

รองศาสตราจารย์ ดร.ณดา จันทร์สม
13 มีนาคม 2568
คอลัมน์เศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ

นับตั้งแต่ปี 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีภาวะซึมมาอย่างต่อเนื่อง จนช่วงที่ผ่านมานับแต่เริ่มต้นปีใหม่ 2568 ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 16%

และดัชนีลดต่ำไปปิดที่ระดับ 1,177.44 จุด เป็นระดับที่ต่ำที่สุดในช่วง 52 สัปดาห์ เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีจะต่ำลงไปกว่านี้นักวิเคราะห์ได้ออกมาให้ทัศนะต่อการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีสาเหตุหลัก ๆ จากทั้งปัจจัยทั้งภายในและภายนอกปัจจัยภายนอกที่สำคัญคงไม่พ้นการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยการนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะใช้การตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ

และไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุล ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและทยอยขายหุ้นในตลาดเพื่อลดความเสี่ยง

นอกจากนั้น ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ารวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

ตลาดจึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ลดดอกเบี้ยเร็วนัก กอปรกับค่าเงินบาทที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงส่งผลกระทบหุ้นกลุ่มน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยนัก

ปัจจัยภายในทั้งการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและเติบโตช้าเมื่อเทียบประเทศในกลุ่มอาเซียน ขาดปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วทั้งการแจกเงิน 10,000 บาท ในกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ และกำลังจะดำเนินการในกลุ่มวัยรุ่น

ดูจะไม่ได้ส่งผลเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้างเท่าใดนัก นอกจากนั้น โครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคบริการจากการท่องเที่ยว และการส่งออก ยิ่งสะท้อนถึงความเปราะบางต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่มาก

กอปรกับโครงสร้างภาคบริการที่เป็นฟันเฟืองใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ยังอิงกับธุรกิจบริการแบบดั้งเดิม (Traditional services) ซึ่งใช้แรงงานทักษะต่ำเป็นหลัก อาทิ ภาคค้าส่ง-ค้าปลีก โรงแรมและร้านอาหาร

ขณะที่ Modern Services ซึ่งใช้เทคโนโลยีและทักษะแรงงานขั้นสูง อาทิ บริการด้าน IT ลิขสิทธิ์ทางปัญญา และธุรกิจการเงิน มีสัดส่วนเพียงที่ 14% ของ GDP ส่วนภาคบริการของไทยแม้จะมีการจ้างงานจำนวนมาก แต่ผลิตภาพแรงงานยังต่ำกว่าภาคการผลิต

หากพิจารณาความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์ไทยทั้งสองด้านแล้วจะเห็นได้ว่า ความคาดหวังที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับที่เคยเป็นในอดีตที่ระดับ 1,500-1,600 จุด เป็นไปได้ยาก

การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศที่ไปสู่ทางเลือกอื่น ขาดความเชื่อมั่นกับเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นของไทย และยังไม่เห็นถึงปัจจัยบวกที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาสั้นหรือแม้แต่ระยะกลาง

แต่กลับมีประเด็นทางด้านลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยที่ปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

ความสามารถในการแข่งขันลดลง และนโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่เห็นถึงทิศทางของการผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด การใช้มาตรการแบบเดิมในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายและการลงทุนจากภาครัฐ มีข้อจำกัดจากงบประมาณและเพดานหนี้สาธารณะ 

การรับมือกับโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัย การจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กัดกร่อนสังคมไทย การผลักดันให้เกิดการลงทุนโดยภาคเอกชน

การพัฒนายกระดับแรงงานให้มีทักษะสูง การสร้างบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศโดยลดข้อจำกัดทางด้านกฎระเบียบข้อบังคับ และยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหาร เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1170732