ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ piriya@nida.ac.th/ pholphir@hotmail.com
วิกฤติโควิด-19, สงครามรัสเซีย-ยูเครน, การเข้ามาปั่นป่วนของเทคโนโลยี และอื่นๆ อีกมากที่เกินจะคาดเดา ส่งผลทำให้เราต้องอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลงและความไม่มั่นคงในหลากหลายมิติ หรือที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เรียกว่า “โลกของ VUCA” ที่หมายถึง โลกที่สภาวะความผันผวน (Volatility) ไม่แน่นอน (Uncertainty) ซับซ้อนยุ่งเหยิง (Complex) และคลุมเครือ (Ambiguity) คำนี้เป็นคำที่ถูกประดิษฐ์โดยวิทยาลัยสงครามทหารบกของสหรัฐอเมริกา เมื่อหลังการสิ้นสุดสงครามเย็น แต่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เมื่อกว่าหลายปีที่ผ่านมา
ด้วยสถานการณ์ VUCA นี้ เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความท้าทายต่อ “ความยั่งยืน” ทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก แต่ละประเทศจึงมีความคาดหวังกับนโยบายการคลังที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเป็นรูปแบบที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เรียกว่า “การใช้นโยบายการคลังอันชาญฉลาด” (Smart Fiscal Policy)
ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณที่แต่ละประเทศต้องหมดไปกับการต่อสู่กับโควิด-19 และความไม่แน่นอนต่างๆ นั้น ส่งผลทำให้ การใช้นโยบายการคลังอันชาญฉลาดจำเป็นต้องคำนึงถึงรูปแบบของการ “ทำน้อยได้มาก (Do More with Less)” เป็นสำคัญ ซึ่งในที่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่การใช้นโยบายการคลังของประเทศจะต้องตอบสนองต่อ 5 กุญแจสำคัญดังนี้
1.นโยบายการคลังควรแปรผันตรงกันข้ามกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (Counter-cyclical fiscal policies) คือรัฐต้องมีการลดงบประมาณรายจ่าย (หรือเพิ่มภาษี) ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว และจะเพิ่มงบประมาณรายจ่าย (หรือลดภาษี) ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งในการทำลักษณะนี้จะส่งผลให้นโยบายการคลังมีลักษณะของการช่วยในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น ลดโอกาสการขาดดุลการคลัง และการสร้างหนี้สาธารณะที่เกินกว่าความพอดี โดยการให้นโยบายการคลังมีลักษณะของการเป็น “ผู้รักษาเสถียรภาพแบบอัตโนมัติ” (Automatic Stabilizer) มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินการทางการคลังที่ดี เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพ และส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าในระยะยาว
2.นโยบายการคลังควรสนับสนุนให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว (Fiscal policy should be growth friendly) หมายถึงการที่นโยบายการคลังจะต้องเอื้อไปสู่กิจกรรมที่สร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเป็นสำคัญ โดยการส่งเสริมการเจริญเติบโตในด้านอุปทาน (Supply Side) เป็นหลักมากกว่าการไปกระตุ้นเพียงด้านอุปสงค์ ในการทำเช่นนี้ต้องให้แน่ใจว่านโยบายการคลังเอื้อไปสู่การเพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพในด้าน
3.นโยบายการคลังควรต้องสนับสนุนการมีส่วนร่วม ( Fiscal policy should promote inclusion) หมายถึงการใช้นโยบายการคลังที่จะต้องครอบคลุมไปสู่ผู้ด้อยโอกาสในประเทศ เช่น ครัวเรือนที่มีฐานะยากจนจริง ซึ่งเป็นอีกปัญหาหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยที่ยังไม่สามารถมีเครื่องมือในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Mechanism) ที่เหมาะสมได้ จึงส่งผลให้นโยบายการคลังส่วนใหญ่จึงออกมาในลักษณะของแบบให้กับทุกคน (Universal) ทั้งนี้ด้วยภาระทางการคลังที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการได้รับสิทธิประโยชน์ทางการคลัง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาและหาแนวทางการดำเนินการในปัจจุบัน ทั้งการใช้นโยบายการโอนเงินแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) หรือการใช้อัตราภาษีแบบติดลบ (Negative Income Tax) ก็เป็นรูปแบบที่ควรได้รับการนำมาใช้ในบริบทของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย
4.นโยบายการคลังควรสอดคล้องความสามารถในการเก็บภาษีของรัฐบาล (Fiscal policy should be supported by a strong tax capacity) ที่ผ่านมารัฐบาลของหลายประเทศได้ดำเนินนโยบายการคลังที่มีโอกาสในการสร้างการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหานี้เกิดขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาจำนวนมากทั่วโลกล้วนมีความต้องการในการใช้นโยบายการคลังในการพัฒนาประเทศ ในขณะที่ประเทศเหล่านี้กลับมีความสามารถในการจัดเก็บภาษีต่ำ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างแนวทางใหม่ในการจัดเก็บภาษี ไม่ว่าจะเป็น
5.นโยบายการคลังควรดำเนินการอย่างรอบคอบ (Fiscal policy should be prudent) เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจส่งผลทำให้นโยบายการคลังถูกนำมาใช้เกินกว่าที่ประมาณการไว้ โดยเฉพาะสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่นโยบายการคลังจะถูกตัดสินจากวิจารณญาณของผู้บริหารประเทศมากกว่าการดำเนินตามกฎเกณฑ์ อันส่งผลให้การดำเนินนโยบายการคลังอาจเป็นไปอย่างไม่รอบคอบ ดังนั้นควรที่จะ
ทั้งนี้ ข้อเสนอแนวคิดในการทำ Smart Fiscal Policy นี้จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในด้านวิชาการทางการคลังสาธารณะของประเทศไทย ดังนั้นปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร แต่ปัญหาที่สุดของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยก็คือ “ถึงแม้ว่าเรารู้แล้วว่าควรปรับปรุงอย่างไร แต่จะไม่มีใครที่จะยอมปรับปรุงตามนั้น” หรือเพราะมันหมายถึงเงินในกระเป๋าและฐานเสียงของนักการเมืองที่จะต้องสูญเสียไปด้วย
ที่มา: https://thaipublica.org/2022/11/nida-sustainable-move08/